[go: nahoru, domu]

ข้ามไปเนื้อหา

โดโรเธียแห่งบรันเดินบวร์ค

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

โดโรเธียแห่งบรันเดินบวร์ค (ค.ศ. 1430/1431 - 10 พฤศจิกายน ค.ศ. 1495) ทรงเป็นเจ้าหญิง ซึ่งได้เป็นสมเด็จพระราชินีสแกนดิเนเวียภายใต้ คือ สมเด็จพระราชินีแห่งเดนมาร์ก, และ จากการอภิเษกสมรสกับ ในค.ศ. 1445 จนกระทั่งกษัตริย์คริสตอฟเฟอร์สวรรคต ค.ศ. 1448 และต่อมาทรงเป็นพระมเหสีใน พระนางทรงดำรงเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งเดนมาร์ก ในค.ศ. 1449 และสมเด็จพระราชินีแห่งนอร์เวย์ ในค.ศ. 1450 จนกระทั่งกษัตริย์คริสเตียนสวรรคตในค.ศ. 1481 และยังทรงเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งสวีเดน ตั้งแต่ค.ศ. 1457 - 1464 พระนางยังทรงดำรงเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินเดนมาร์กในช่วงสมัยไร้กษัตริย์ในค.ศ. 1448 และเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในช่วงพระราชสวามีองค์ที่สองเสด็จออกจากราชอาณาจักร

พระนางยังทรงเป็นพระราชชนนีใน และ

ช่วงต้นพระชนม์ชีพ

โดโรเธียประสูติราว ค.ศ. 1430 หรือ ค.ศ. 1431 เป็นพระราชธิดาในกับบาร์บาราแห่ง (1405 - 1465) พระนางทรงมีพระเชษฐภคินีสองพระองค์ ได้แก่ (1423 - 1481) ผู้ซึ่งกลายเป็นมาร์เชอเนสแห่งมันตัว และ (1425 - 1465) ผู้ซึ่งกลายเป็นดัชเชสแห่งพอเมอเรเนีย เมื่อมีพระชนมายุได้ 8 ชันษา ได้ประทับอยู่ที่ ซึ่งพระบิดาของพระนางเป็นผู้ปกครองอยู่ ในค.ศ. 1443 ได้รับเลือกให้เป็นพระมหากษัตริย์เดนมาร์ก, สวีเดนและนอร์เวย์ พระองค์ใหม่ ได้สืบทอดเขตโอเบิร์พฟัลทซ์ ซึ่งอยู่ใกล้ไบร็อยท์ และได้มีการแนะนำให้กษัตริย์คริสตอฟเฟอร์เสกสมรสกับโดโรเธีย เพื่อรับการสนับสนุนของพระบิดาของโดโรเธียต่อฐานอำนาจของกษัตริย์คริสตอฟเฟอร์ในดินแดนเยอรมัน การหมั้นได้มีการประกาศก่อนสมัยการประทานของพระสันตะปาปาในเรื่องความสัมพันธ์ที่เป็นญาติกัน เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1445 ซึ่งได้รับการอนุมัติในวันที่ 10 มีนาคม

การอภิเษกสมรสกับคริสโตเฟอร์แห่งบาวาเรีย

ในวันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 1445 พระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างกษัตริย์คริสตอฟเฟอร์และโดโรเธียจัดขึ้นในโคเปนเฮเกน ตามมาด้วยพิธีสวมมงกุฎให้พระราชินีโดโรเธีย กษัตริย์ทรงพระราชทานเงินทุนพร้อมภาษีพิเศษแก่ทั้งสามราชอาณาจักร จึงถูกมองว่าเป็นวาระโอกาสที่พิถีพิถันที่สุดประวัติศาสตร์นอร์ดิกสมัยกลาง พิธีเฉลิมฉลองดำเนินไป 8 วัน และร่วมพิธีโดยเหล่าเจ้าชายผู้ปกครองนครเบราน์ชไวค์ เฮ็สเซินและบาวาเรีย และคณะทูตจากสันนิบาตฮันซา รวมถึงคณะอัศวินท็อยโทและเหล่าขุนนางเดนมาร์ก สวีเดนและนอร์เวย์ พระนางโดโรเธียเสด็จเข้าเมืองโดยมีขุนนางจากทั้งสามราชอาณาจักรสวมชุดปักสีทองขี่ม้าคอยคุ้มกัน และสวมมงกุฎเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งเดนมาร์ก สวีเดนและนอร์เวย์ โดยบาทหลวงของทั้งสามอาณาจักรที่อารามวัดสเตนา ในวันที่ 15 กันยายน พระราชินีทรงได้รับสินสมรสศักดินาจากทั้งสามอาณาจักร ได้แก่ และสกอยเดนเซของเดนมาร์ก ของนอร์เวย์ และ นาร์กและแวร์มลันด์ของสวีเดน หากพระนางเลือกที่จะประทับนอกสแกนดิเนเวียในฐานะตกพุ่มหม้าย พระนางจะได้รับทรัพย์จำนวน 45,000 ไรน์กิลเดอร์ ซึ่งเป็นจำนวนหนึ่งในสามของแต่ละอาณาจักร

สมเด็จพระราชินีโดโรเธียเสด็จออกจากสวีเดนพร้อมกษัตริย์ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1446 ทั้งสองพระองค์เสด็จเยือนอารามวัดสเตนา และที่ดินสินสมรสของพระนางที่เออเรบรู ในช่วงนี้พระนางทรงพระราชทานพระวโรกาสให้คาร์ล เจ้ากรมวังแห่งสวีเดนเข้าเฝ้า ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นศัตรูของพระนางในอนาคต ตามพงศาวดาร การพบปะครั้งนี้เป็นเรื่องดีและมีการถวายของกำนัลให้แก่พระนางและนางสนองพระโอษฐ์มากมาย ทั้งสองพระองค์เสด็จกลับเดนมาร์กในเดือนกันยายน การอภิเษกสมรสระหว่างพระนงโดโรเธียและกษัตริย์คริสตอฟเฟอร์เป็นเรื่องดีในทางการเมือง โดยพระบิดาของพระนางปกครองดินแดนเยอรมันของกษัตริย์คริสตอฟเฟอร์ และเป็นทั้งผู้สนับสนุนตลอดจนที่ปรึกษาผู้ภักดี แต่ทั้งสองพระองค์ก็ไม่ทรงมีทายาท ตามบันทึกของ ระบุว่าในความเป็นจริงแล้วการเสกสมรสครั้งนี้ไม่มีเรื่องของความสัมพันธ์ทางเพศเลย

การอภิเษกสมรสกับกษัตริย์คริสเตียนที่ 1 แห่งเดนมาร์ก

สมเด็จพระพันปีหลวงโดโรเธียได้รับคำขอให้อภิเษกสมรสกับและอัลเบร็ชท์ที่ 6 อาร์ชดยุกแห่งออสเตรีย แต่พระนางทรงเลือกที่จะประทับในเดนมาร์กต่อไป และอภิเษกสมรสกับกษัตริย์เดนมาร์กพระองค์ใหม่ที่ได้รับการเลือกตั้งคือ หรือ กษัตริย์คริสเตียนที่ 1 พระราชพิธีอภิเษกสมรสจัดขึ้นในวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 1449 ตามมาด้วยพระราชพิธีราชาภิเษกในฐานะกษัตริย์คริสเตียนและพระราชินีโดโรเธียแห่งเดนมาร์ก พระนางทรงสละสิทธิในการครอบครองที่ดินศักดินาจากการสมรสที่มีอยู่ในเดนมาร์กและนอร์เวย์ แทนที่ด้วยและในเดนมาร์ก และในนอร์เวย์ แต่ทรงปฏิเสธที่จะสละที่ดินในสวีเดน มีการเลือกตั้งให้คาร์ล คนุตสัน บอนเดอเป็นกษัตริย์สวีเดนและนอร์เวย์ ทำให้พระนางสูญเสียดินแดนในอาณาจักรเหล่านี้ และด้วยความทะเยอทะยานของพระนาง รวมถึงความทะเยอทะยานของกษัตริย์คริสเตียน ที่ต้องการให้กษัตริย์คริสเตียนสวมมงกุฎในสวีเดนและนอร์เวย์ และเพื่อรวมสหภาพคาลมาร์ที่แตกสลายให้รวมกันอีกครั้ง

กษัตริย์คริสเตียนทรงสืบราชบัลลังก์ในนอร์เวย์เช่นกัน ค.ศ. 1450 แต่การเอาชนะสวีเดนนั้นทำได้ยากกว่า และสมเด็จพระราชินีโดโรเธียทรงยืนหยัดรณรงค์เป็นเวลาหลายปีในการสรรหาผู้สนับสนุนจากเหล่าบาทหลวงและขุนนางสวีเดน ซึ่งพระนางทรงกล่าวพาดพิงถึง กษัตริย์คาร์ลที่ 8 แห่งสวีเดน ทีได้รับเลือกเป็นกษัตริย์นั้น เป็นเพียงอดีตเจ้ากรมวังและข้าราชบริพารของพระนาง ดังนั้นจึงสมควรเรียกว่าเป็นผู้ช่วงชิงราชบัลลังก์และเป็นผู้ทรยศที่ฝ่าฝืนคำปฏิญาณโดยการปล้นสิทธิที่ดินมรดกสมรสในสวีเดนของพระนาง ซึ่งเป็นอดีตพระราชินี ในค.ศ. 1455 พระนางทรงยื่นคำร้องไปถึงสมเด็จพระสันตะปาปา ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1457 การรณรงค์ของพระนางประสบความสำเร็จ เมื่อเกิดการกบฏโดยอาร์ชบิชอป จอน เบ็งก์สัน อ็อกเซนสแทร์นา ได้โค่นบัลลังก์ของกษัตริย์คาร์ลที่ 8 ซึ่งลี้ภัยไปยังดินแดนเยอรมัน และในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1457 กษัตริย์คริสเตียนทรงได้รับเลือกเป็นพระมหากษัตริย์สวีเดน ด้วยเหตุนี้จึงสามารถรวมสามอาณาจักรนอร์ดิกเป็นหนึ่งเดียวได้อีกครั้ง สมเด็จพระราชินีโดโรเธียเสด็จเข้าสตอกโฮล์มอย่างเป็นทางการในเดือนธันวาคม และที่ดินมรดกสมรสของพระนางได้รับการฟื้นคืนแก่พระนาง ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1458 สภาสวีเดนได้อนุมัติตามพระราชประสงค์ของพระราชินีโดโรเธียและกษัตริย์คริสเตียนที่ว่าพระราชโอรสของทั้งสองพระองค์ จะได้สืบราชบัลลังก์สวีเดน เช่นเดียวกับราชบัลลังก์นอร์เวย์และเดนมาร์กที่ได้มีการรับประกันอย่างมั่นคงแล้ว กษัตริย์และพระราชินีเสด็จกลับเดนมาร์กในเดือนกรกฎาคม

ใน ค.ศ. 1460 กษัตริย์คริสเตียนทรงซื้อและ ซึ่งทำให้พระองค์มีหนี้สิ้น ทำให้ต้องทรงขึ้นภาษีและทำลายผู้สนับสนุนฝ่ายพระองค์ในสวีเดน พวกเขาเลือกกษัตริย์คาร์ลที่ 8 เป็นพระมหากษัตริย์อีกครั้งในค.ศ. 1464 การสูญเสียสวีเดนส่งผลกระทบต่อสมเด็จพระราชินีโดโรเธีย ที่ทรงรณรงค์มาตลอดพระชนม์ชีพเพื่อพระราชสวามี (และพระราชโอรสในรัชสมัยต่อมา) ในการได้รับราชบัลลังก์อีกครั้ง ส่งผลกระทบต่อสหภาพคาลมาร์แห่งสามราชอาณาจักรและการเรียกคืนดินแดนมรดกสมรสของพระนาง การสูญเสียที่ดินส่วนพระองค์ทำให้พระนางสามารถผลักดันปัญหาสวรีเดนเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีในศาลได้ และพระนางทรงฟ้องกษัตริย์คาร์ลที่ 8 ต่อสมเด็จพระสันตะปาปากรุงโรมในข้อหาช่วงชิงสิทธิในที่ดินของพระนาง เมื่อผู้สืบตำแหน่งจากกษัตริย์คาร์ลที่ 8 เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินสวีเดน คือ ซึ่งเป็นหลานลุงของกษัตริย์คาร์ลที่ 8 พระนางจึงทรงฟ้องเขาด้วย ในค.ศ. 1475 พระนางเสด็จอิตาลี พระนางเสด็จเยี่ยม พระเชษฐภคินีของพระนางที่ และเข้าเฝ้าฯ ในโรม และผลักดันให้มีการสเตียน สตูเร อย่างเป็นทางการ การที่พระนางใช้แผนการปัพพาชนียกรรม จะทำให้ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แห่งสวีเดนไม่สามารถปกครองได้ และราชอาณาจักรสวีเดนจะถูกทำลายทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง ส่งผลให้ผู้สำเร็จราชการสวีเดนพ่ายแพ้และมีการเลือกตั้งให้กษัตริย์เดนมาร์กเป็นกษัตริย์สวีเดน อันเป็นนโยบายทางการเมืองที่ถูกระงับและพระนางทรงต่อสู้มาเป็นเวลากว่า 20 ปี การเสด็จเยือนโรมในพฤษภาคม ค.ศ. 1475 สมเด็จพระสันตะปาปาซิกตุสที่ 4 ทรงออกสารตราอนุญาตให้กษัตริย์คริสเตียนจัดตั้งมหาวิทยาลัยในเดนมาร์ก เป็นผลให้มหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน ได้รับการสถาปนาในค.ศ. 1479

ในเดนมาร์ก สมเด็จพระราชินีโดโรเธียทรงได้รับ สล็อตสโลวึน (Slotsloven) เป็นกฎหมายที่ให้สิทธิแก่สมเด็จพระราชินีในการบังคับบัญชาปราสาท ป้อมปราการทั้งหมดในเดนมาร์ก และต้องทรงทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในช่วงที่พระมหากษัตริย์เสด็จนอกราชอาณาจักร พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ของพระนางมีส่วนในการสร้างอิทธิพลทางการเมือง เมื่อกษัตริย์คริสเตียนทรงได้รับฮ็อลชไตน์และชเลสวิช ในค.ศ. 1460 และไม่สามารถจ่ายได้ พระนางทรงให้พระราชสวามียืมพระราชทรัพย์ในจำนวนที่จำเป็นเพียงพอต่อการซื้อที่ดินเหล่านี้และรวมเข้าไว้กับเดนมาร์ก ในค.ศ. 1470 พระนางทรงยึดอำนาจการควบคุมชเลสวิชและฮ็อลชไตน์โดยพฤตินัย เมื่อกษัตริย์คริสเตียนไม่ทรงสามารถหาทรัพย์มาคืนพระนางได้ พระนางปกครองฮ็อลชไตน์ (ค.ศ. 1479) และชเลสวิช (ค.ศ. 1480) ด้วยพระนางเองและทรงปกครองเหมือนสถานะที่ดินศักดินาของพระนาง หลังการสิ้นพระชนม์ของพระบิดาของพระนาง ในค.ศ. 1464 พระนางทรงต่อสู้กับ อาของพระนาง ในการแย่งชิงมรดกในแคว้นบรันเดินบวร์ค

สมเด็จพระราชินีโดโรเธียทรงได้รับการบรรยายว่า เป็นผู้มีความสามารถ ทะเยอทะยาน หยิ่งยะโสและประหยัด

สมเด็จพระพันปีหลวง

กษัตริย์คริสเตียนที่ 1 สวรรคตในวันที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ. 1481 และผู้สืบราชบัลลังก์คือ พระราชโอรสองค์ใหญ่ ขณะดำรงเป็นสมเด็จพระพันปีหลวง พระนางโปรดที่จะประทับในปราสาทคาลุนด์บอร์ก พระนางยังทรงมีบทบาททางการเมืองในรัชสมัยพระราชโอรสตราบจนสิ้นพระชนม์ พระนางได้พระราชทานดัชชีชเลสวิช-ฮ็อลชไตน์ แก่เจ้าชายเฟรเดอริก พระราชโอรสองค์เล็ก ซึ่งทำให้พระนางเกิดความขัดแย้งกับพระราชโอรสองค์ใหญ่ และสุดท้ายทรงยุติด้วยการแบ่งดัชชีระหว่างพระราชโอรสทั้งสอง

สมเด็จพระพันปีหลวงโดโรเธียยังทรงมีความทะเยอทะยานต่อไปในการรวมสหภาพคาลมาร์แห่งราชอาณาจักรนอร์ดิก โดยพระนางทรงโปรดให้พระราชโอรสครองราชย์เป็นกษัตริย์สวีเดนมากกว่าที่จะสนับสนุนพระราชสวามี ด้วยการขับไล่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แห่งสวีเดนจากการปัพพาชนียกรรม ด้วยเขาทำการริบที่ดินสิทธิมรดกของพระนาง ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1482 พระนางทรงตรัสแผนการนี้แก่กษัตริย์ พระราชโอรส และในค.ศ. 1488 พระนางเสด็จไปเยือนบาร์บารา พระเชษฐภคินีที่มันตัวเป็นครั้งที่สอง ระหว่างทางพระนางทรงเข้าเฝ้าฯ ที่ และเสด็จเข้าเฝ้าฯ ที่กรุงโรม ซึ่งพระนางทรงกดดันให้มีการคว่ำบาตรผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแห่งสวีเดนอีกครั้งและให้ราชอาณาจักรสวีเดนอยู่ในโทษต้องห้าม เอกอัครราชทูตสวีเดนพยายามอย่างยากลำบากที่ไม่ให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น สมเด็จพระพันปีหลวงทรงดำเนินการตามแผนการนี้ต่อไปจนกระทั่งสิ้นพระชนม์ เรื่องนี้ก็ไม่ยุติจนกระทั่งหลังพระนางสิ้นพระชนม์ไปแล้วสามปี เมื่อพระราชโอรสของพระนางได้รับเลือกเป็นกษัตริย์สวีเดน และพระองค์ทรงยืนยันว่าจะไม่ดำเนินการเรื่องนี้ต่อไป แม้ว่าพระนางจะสิ้นพระชนม์ก่อนที่พระราชโอรสจะได้เป็นกษัตริย์สวีเดนสองปี แต่ก็ถือว่าความพยายามของพระนางส่งผลให้เกิดผลประโยชน์ดังกล่าว

สมเด็จพระพันปีหลวงโดโรเธียสิ้นพระชนม์ในวันที่ 25 พฤศจิกายน ค.ศ. 1495 และทรงได้รับการฝังพระศพเคียงข้างพระราชสวามี ณ มหาวิหารรอสกิลด์

ั้งหมด 5

  • มหากษัต
  • มริย์สวีเ

อ้างอิง

พิ่ม

  • An